วันพุธที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

พ่อกบช่วยลูกจากน้ำแห้ง




ที่มา http://www.youtube.com/watch?v=3GlUIzTtkL8&feature=related

แมวแกล้งหมา



ที่มา http://www.youtube.com/watch?v=2aRRwSW5cw8&feature=related

ยังไม่รู้ตัวอีกว่าเครื่องปริ้นเสีย



ที่มา http://www.youtube.com/watch?v=foLFQs_pf64&feature=fvwrel

รวมสัตว์ฮาๆ




ที่มา http://www.youtube.com/watch?v=dixDjT40zH4&feature=related

แมวส่ายหัวดุ๊กดิ๊ก



ที่มา http://www.youtube.com/watch?v=jsfFXe5n3S0

สัตว์เศรษฐกิจ นกกระจอกเทศ


สัตว์เลี้ยงที่มีคุณค่าและมีปริมาณมากพอที่จะนำมาใช้ประโยชน์ในเชิงเศรษฐกิจ ตัวอย่างของสัตว์เศรษฐกิจที่เป็นที่รู้จักกันมีอาทิเช่น โค กระบือ ไก่ สุกร เป็นต้น โดยสัตว์เศรษฐกิจของประเทศออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ คือแกะซึ่งขนของมันสามารถนำรายได้เข้าประเทศเป็นจำนวนมาก นอกจากนั้นก็มีโคซึ่งผลผลิตทั้งเนื้อ หนัง สามารถนำไปแปรรูปเป็นผลผลิตส่งขายไปได้ทั่วโลก
 สำหรับประเทศไทยสัตว์เศรษฐกิจที่นำรายได้เข้าประเทศ มีอาทิเช่น ไก่ ซึ่งการแปรรูปทั้งในลักษณะไก่ต้มสุก และไก่แช่แข็งส่งออกไปยังประเทศญี่ปุ่น ยุโรปและสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้ก็มีกุ้งกุลาดำ ซึ่งมีการเลี้ยงอย่างกว้างขางทางภาคใต้ของประเทศและสามารถส่งออกนำรายได้เข้าประเทศได้มหาศาลเช่นกัน
     ปัจจุบันมีการพัฒนาสัตว์เศรษฐกิจใหม่ขึ้นอีกหลายชนิดทั้งจากการนำสัตว์ป่ามาเลี้ยงในเชิงพาณิชย์ เช่น หมูป่า และการนำเข้ามาจากต่างประเทศ นกกระจอกเทศ ซึ่งสามารถนำมาเพาะเลี้ยงและขยายพันธุ์ โดยมีแนวโน้มจะสามารถผลิตในเชิงพาณิชย์ได้ในอนาคต เพราะสามารถนำทุกส่วนมาทำเป็นผลผลิตขายได้
ไก่พื้นเมือง กรมปศุสัตว์
     เป็นไก่ที่ทำการคัดเลือก และปรับปรุงพันธุ์ขึ้นมาเป็นเวลามากกว่า 10 ปี มีวัตถุประสงค์ให้ไก่มีการพัฒนาคุณสมบัติให้ดีขึ้นกว่าเดิมหลายประการ เช่น การเจริญเติบโต มีการพัฒนา การเจริญเติบโตสูงกว่าสายพันธุ์ดั้งเดิม ซึ่งเดิมนั้นเติบโตวันละ 9 กรัม เมื่อได้รับการปรับปรุงพันธุ์ให้ดีขึ้น สามารถเพิ่มการเติบโตได้วันละ 15 - 21 กรัม ด้วยการให้ผลผลิตไข่ ก็สามารถเพิ่มผลผลิตจากเดิม 60 ฟองต่อ ปี เป็น 160 - 180 ฟองต่อปี และยังปล่อยเลี้ยงในชนบทได้ง่าย หากินง่าย ฟักไข่ได้เอง เช่นเดียวกับไก่พื้นเมือง ทั่วไป ไก่พื้นเมืองกรมปศุสัตว์ มีหลายประเภท ดังนี้
     1. ไก่ 2 สายพันธุ์ เป็นไก่ลูกผสมระหว่างไก่พื้นเมือง กับไก่ที่มีขนาดรูปร่างใหญ่ เช่น พื้นเมือง- โร๊ด พื้นเมือง-บาร์
     2. ไก่ 3 สายพันธุ์ พันธุ์เซี่ยงไฮ้-โร๊ด-บาร์ (SRB) พันธุ์พื้นเมือง - โร๊ด - บาร์ (NRB)
     3. ไก่สายพันธุ์อื่น ๆ ได้แก่ พันธุ์ NSRB และพันธุ์ NASRB เป็นการนำเอาพ่อพันธุ์พื้นเมืองผสมกับแม่ 3 สายพันธุ์ หรือ 4 สายพันธุ์ จะได้ลูกผสมที่เติบโตเร็ว มีคุณภาพเนื้อดี รสชาดใกล้เคียงกับไก่พื้นเมืองที่เป็นที่ต้องการของตลาด
นกกระจอกเทศ
     เป็นนกที่ใหญ่ที่สุด มีถิ่นกำเนิดในทวีปอัฟริกา สามารถปรับตัวเข้ากับสภาพอากาศได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าอากาศจะร้อนหรือหนาว ดังนั้นจึงมีการนำนกกระจอกเทศไปเลี้ยงกันทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็น ประเทศในยุโรป อเมริกา ออสเตรเลีย หรือแม้แต่ในทวีปเอเชีย เช่น จีน อินโดนีเซีย หรือ มาเลเซีย ทั้งนี้ เพราะนกกระจอกเทศมีความสามารถในการปรับตัวเข้ากับสภาพอากาศได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังให้ผลผลิตมากมาย เช่น หนัง เนื้อ ขน ไข่ ตลอดจนน้ำมัน เป็นต้น
     นกกระจอกเทศ แบ่งออกเป็น 3 สายพันธุ์ คือ
       1. สายพันธุ์ คอแดง
       2. สายพันธุ์ คอน้ำเงิน
       3. สายพันธุ์ คอดำ
     3 สายพันธุ์ จะแตกต่างกันในเรื่องของการให้ผลผลิตและขนาดเท่านั้น ส่วนลักษณะที่ปรากฎภายนอกจะเหมือนกัน
ลักษณะจำเพาะ  เพศผู้ - มีขนสีดำ ยกเว้น ปลายปีกและขนหางจะมีสีขาว สูง 2.65 - 270 ซม. หนัก 100 - 165 กก. เพศเมีย - ขนสีน้ำตาลเทา สูง 175 - 230 ซม. หนัก 90 - 155 กก.
การให้ผลตอบแทน
     นกกระจอกเทศ เมื่อมีอายุประมาณ 10 - 14 เดือน ถือว่าเป็นวัยที่มีอัตราการเจริญเติบโตสูงสุด จะมีน้ำหนักตัวประมาณ 90 - 110 กิโลกรัม ซึ่งถือว่าเป็นช่วงอายุที่เหมาะสมที่จะส่งไปแปรรูป และจะให้ผลผลิตดังนี้
หนัง
     นกกระจอกเทศ 1 ตัว จะให้หนังที่มีลักษณะแตกต่างกันถึง 3 แบบ คือ หนังส่วนแข้ง หนังต้นขา และหนังบริเวณหลัง โดยแต่ละตัวจะให้หนังที่มี คุณภาพดีขนาด 1.1 - 1.5 ตารางเมตร ใช้ทำประโยชน์ได้หลายอย่าง เช่น รองเท้าบู้ต กระเป๋า เสื้อแจ็คเก็ต เข็มขัด เป็นต้น 
  เนื้อ
     เนื้อนกกระจอกเทศจะมีข้อดีที่ไขมัน และคอเลสเตอรอลต่ำกว่าเนื้อสัตว์ชนิดอื่น และทุกชาติศาสนา สามารถบริโภคได้
ขน
     มีลักษณะอ่อนนุ่ม และมีไขมัน ใช้เป็นเครื่องประดับเสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย ทำไม้ ปัดฝุ่น สำหรับเครื่องอิเลคโทรนิค เป็นต้น ซึ่งแต่ละปี จะให้ผลผลิตขนประมาณ 1.0 -1.2 กก.
น้ำมัน
     เป็นส่วนประกอบที่สำคัญในการทำเครื่องสำอางค์ เพราะดูดซึมเข้าผิวหนัง ได้เร็วและไม่เหนียวเหนอะหนะ ช่วยในการบำรุงผิวพรรณได้เป็นอย่างดี
ไข่และเปลือกไข่
     ไข่นกกระจอกเทศ สามารถนำมาบริโภคได้ และมีคุณสมบัติ เช่นเดียวกับไข่เป็ด ไข่ไก่ นอกจากนี้ เปลือกไข่ยังไปตกแต่งลวดลาย แกะสลัก ทำโคมไฟ เป็นเครื่องประดับหรือของที่ระลึกได้เป็นอย่างดี
  คุณลักษณะ  ผลตอบแทน
   ระยะเวลาฟักไข่ (วัน)                       42
   การให้ลูก (ตัว/ปี/แม่)                        20
   อัตราการแลกเนื้อ (FCR)                   2-3:1
   อายุส่งโรงงานแปรรูป (เดือน)          10-14
   ผลผลิตหนัง (ชิ้น/แม่)                       20
   ผลผลิตเนื้อ (กก./แม่)                      750-850
   ผลผลิตขน(กก./แม่)                           20-25
   ผลผลิตน้ำมัน (กก./แม่)                     40-60
   พื้นที่เลี้ยงดู (ตัว/ไร่)                             3
   ระยะเวลาให้ผลผลิต (ปี)                     25-30
ที่มา http://www.tkc.go.th/wiki/show/%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%A7%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%A9%E0%B8%90%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%88

วันอังคารที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

เลี้ยงชะมดเช็ดเชิงพาณิชย์ สัตว์เศรษฐกิจแห่งอนาคต


เลี้ยงชะมดเช็ดเชิงพาณิชย์ สัตว์เศรษฐกิจแห่งอนาคต
ปัจจุบันชะมดเช็ดกำลังจะเป็นสัตว์เศรษฐกิจที่น่าจับตามอง เช็ดชะมด หรือไขมันจากชะมดเช็ด เป็นที่ต้องการของตลาดในและต่างประเทศ เพื่อนำไปผลิตยาไทยแผนโบราณ-น้ำอบไทย-น้ำมันระเหยที่ใช้สำหรับสปา และสุคนธบำบัด ทำให้ราคาสูง กิโลกรัมละ 2-4 แสนบาท นอกจากนี้ยังเลี้ยงให้ผลกาแฟ เพื่อผลิต "กาแฟขี้ชะมด" ทำให้สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (สพภ.) มีโครงการส่งเสริมให้เลี้ยงในเชิงพาณิชย์ เพราะสร้างรายได้เป็นอย่างดี

ดร.ชวาล ทัฬหิกรณ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านทรัพยากรชีวภาพ สพภ.บอกว่า ปัจจุบันกฎกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เปิดโอกาสให้เลี้ยงชะมดเช็ด หรือชะมดเชียงได้ เนื่องจากเช็ดชะมดหรือ ไขมัน เป็นที่ต้องการของตลาดทั้งในและต่างประเทศ สพภ.จึงมีโครงการส่งเสริมพัฒนาสัตว์ป่าที่เพาะพันธุ์ได้ในเชิงพาณิชย์ เนื่องจากเล็งเห็นถึงศักยภาพของธุรกิจการเลี้ยงชะมดจะสร้างรายได้ให้แก่คนเลี้ยงได้เป็นอย่างดี ปัจจุบันไขชะมดเช็ดราคากิโลกรัมละ 2-4 แสนบาท
"ราคาไขชะมดเช็ด จะสูงกว่าราคาสัตว์ชนิดอื่นๆ ลิบลับ แต่ขณะนี้ยังไม่มีการส่งเสริมการเลี้ยงอย่างเป็นรูปธรรม สพภ.กำลังประสานกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมอุทยานที่ดูแลประชากรชะมดเช็ด เพราะเห็นว่าเมื่อกฎหมายผ่อนปรนให้เลี้ยงเชิงพาณิชย์ได้แล้ว แต่ที่ผ่านมาแม้จะมีการเพาะพันธุ์บ้าง แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร ขณะที่ตลาดมีความต้องการไขชะมดสูงเพื่อนำไปผลิตยาไทยแผนโบราณ น้ำอบไทย น้ำมันระเหยที่ใช้สำหรับสปา และสุคนธบำบัด นอกจากนี้ยังมีการเลี้ยงชะมดเช็ดให้กินผลกาแฟสุกเพื่อผลิตกาแฟขี้ชะมดด้วย" ดร.ชวาลกล่าว

ด้าน พจนีย์ น้อยปิ่น เจ้าของ "ฟาร์มชะมดเช็ดป้าน้อย" อ.เขาย้อย จ.เพชรบุรี บอกว่า เลี้ยงมากว่า 50 ปีตั้งแต่รุ่นตายาย โดยครั้งแรกซื้อชะมดเช็ด จากชาวกะเหรี่ยงตัวละ 2,000-3,000 บาท ปัจจบันมีกว่า 150 ตัว ผลิตพ่อแม่พันธุ์ได้แล้ว ขายในราคาคู่ละ 1 หมื่นบาท แม่พันธุ์ 1 ตัวตั้งท้อง 2 เดือน และออกลูกครั้งละ 3-5 ตัว สาเหตุที่เลือกอาชีพเลี้ยงชะมดเช็ดนั้น เพราะคุณตาเล่าให้ฟังว่าไขชะมด ตลาดต้องการสูงมาก และสร้างรายได้ให้แก่ครอบครัวได้เป็นอย่างดี

สำหรับ การเลี้ยงจะเลี้ยงในกรงกว้าง 0.90 เมตร ยาว 1 เมตร สูง 0.50 ยกสูงจากพื้น 70-100 ซม. ทำด้วยไม้ระแนง ปูด้วยฟากไม้ไผ่และมีหลักทำด้วยไม้สำหรับเช็ดไข ส่วนอาหารให้ช่วงเย็น จำพวกปลากระพง โครงไก่ นึ่งให้สุกเพื่อไม่ให้มีกลิ่นเหม็น เฉลี่ยค่าอาหารต่อตัวอยู่ระหว่าง 2-5 บาท/วัน ชะมดเช็ด 1 ตัวให้ไขชะมดวันละ 1 กรัม ในแต่ละปีจะได้ไขชะมด 10 กิโลกรัม ขายกิโลกรัมละ 2.2 แสนบาท

ขณะที่ สุรเชษฐ์ ยุทธสุนทร เจ้าของ ”ไร่คุณหญิง” อ.เมือง จ.กาญจนบุรี ซึ่งขายกาแฟขี้ชะมดเช็ด บอกว่า เป็นเมล็ดกาแฟที่ชะมดเช็ด กินเข้าไป ถ่ายออกมา แล้วนำไปบดเป็นกาแฟสำหรับชงดื่ม สรรพคุณ คือเมื่อดื่มเข้าไปแล้วจะบรรเทาความเคล็ดขัดยอกที่ต้นคอ ปวดเมื่อยได้

"การเลี้ยงชะมดเพื่อให้กินกาแฟก็จะต้องขังชะมดไว้กับต้นกาแฟ ชะมดก็จะเลือกกินกาแฟที่สุกพอดี กาแฟจะหมักอยู่ในกระเพาะและลำไส้ชะมด 2-3 วัน จากนั้นกาแฟก็จะดูดเอนไซม์ภายในลำไส้ของชะมดออกมาทำให้กาแฟและมีสรรพคุณทางสมุนไพร ชะมด 1 วันถ่ายออกมา 1 ก้อนเท่านั้น แต่หลังจากที่ต้นกาแฟหยุดให้ผล คนเลี้ยงสามารถให้กินกล้วยแทนได้" สุรเชษฐ์กล่าว

นับเป็นอีกอาชีพที่น่าสนใจ หากต้องการชมการเลี้ยงชะมดถึงฟาร์มที่เพชรบุรี สอบถามได้ที่สมาคมสื่อมวลชนเกษตรแห่งประเทศไทย โทร.0-2940-5426-7

http://www.komchadluek.net/detail/20110223/8html