การเลี้ยงนกกระจอกเทศ
นกกระจอกเทศเป็นสัตว์เศรษฐกิจที่มีความสำคัญ และเป็นที่นิยมเพาะเลี้ยงกันในขณะนี้ เพราะนอกจากจะนำเอาเนื้อมาบริโภคแล้ว ยังสามารถนำเอาส่วนต่างๆ ของนกกระจอกเทศมาทำประโยชน์ได้ เช่น นำหนังของนกกระจอกเทศมาผลิตกระเป๋า เข็มขัด ขนของนกกระจอกเทศนำมาทำเครื่องประดับ หรือแม้แต่น้ำมันของนกกระจอกเทศก็สามารถนำมาสกัดใช้ได้
ลักษณะโดยทั่วไปของนกกระจอกเทศ
นกกระจอกเทศพันธุ์ที่นิยมเลี้ยงในเชิงพาณิชย์ สามารถแบ่งได้เป็น 3 สายพันธุ์ คือ
1. พันธุ์คอดำ - ลักษณะผิวหนังจะมีสีเทา ดำ -เท้าและปากสีดำ ตัวเล็ก ให้ผลผลิตเนื้อน้อย มีนิสัยเชื่อง ไม่ดุร้าย และเหมาะกับสภาพแวดล้อมในเมืองไทยมากที่สุด2. พันธุ์คอแดง - ลักษณะผิวหนังสีชมพูเข้ม ตัวผู้จะมีขนสีดำตลอดลำตัว ยกเว้นปลายหาง และปีกมีสีขาว ส่วนตัวเมีย ขนจะมีสีน้ำตาล เทา ขนาดของนกกระจอกเทศพันธุ์คอแดงจะมีขนาดใหญ่ ให้ผลผลิตเนื้อมาก แต่ปริมาณไข่น้อย ตัวผู้มีนิสัยดุร้าย โดยเฉพาะช่วงผสมพันธุ์
3. พันธุ์คอน้ำเงิน - ลักษณะผิวหนังมีสีฟ้าอมเทา สีขนเหมือนกับพันธุ์คอแดง แต่ตัวจะเล็กกว่าเล็กน้อย ให้เนื้อน้อยกว่าพันธุ์คอแดง แต่จะให้ผลผลิตไข่ในปริมาณที่มากกว่าพันธุ์คอแดง
การผสมพันธุ์
- แม่นกที่มีวัยเหมาะสมในการผสมพันธุ์จะอยู่ในช่วงอายุ 18 เดือน ส่วนพ่อนกจะอยู่ในช่วงอายุ 24 เดือน
- การผสมพันธุ์ไม่สามารถกระทำได้ทันที จะต้องปล่อยให้นกอยู่ด้วยกันประมาณ 6 เดือน
- การผสมพันธุ์จะต้องแยกเป็นคู่ ๆ ภายในคอก ซึ่งล้อมด้วยตาข่ายเหล็กสูงประมาณ 1 เมตรเศษ
- ในโรงเรือนควรจะปรับสภาพของพื้นทรายไว้ เมื่อแม่นกออกไข่ก็จะสามารถนำไข่มาเข้าตู้ฟักได้เลย
ผู้เลี้ยงจะต้องสังเกตดูพฤติกรรมของนกว่า พ่อแม่พันธุ์คู่ใดสามารถเข้าคู่กันได้ จึงนำมาตรวจสอบสายพันธุ์ นกทั้งสองตัวจะต้องไม่มีสายเลือดเดียวกัน โดยนกทุกตัวจะต้องมีประวัติ มีเบอร์ติดที่คอ และฝังไมโครชิบไว้ตั้งแต่อายุ 3 เดือน
การวางไข่
หลังจากที่นกผสมพันธุ์กัน แม่นกจะอาศัยอยู่ในโรงเรือนที่เตรียมไว้เพื่อวางไข่ ในโรงเรือนควรเกลี่ยทรายรองพื้นเป็นรังไข่ไว้ ซึ่งพอแม่นกออกไข่ครบตามกำหนด ผู้เลี้ยงก็จะสามารถนำไข่มาเข้าตู้ฟักได้ทันที
หมายเหตุ
- แม่นกสามารถให้ไข่ได้ดีที่สุดในช่วงอายุ 5-10 ปี
- แม่นกบางตัวที่สมบูรณ์ สามารถให้ไข่สูงสุดประมาณ 80 ฟองต่อปี แต่ถ้าแม่นกมีอายุมากขึ้น แม่นกจะให้ไข่ในปริมาณที่น้อยลง
- ในต่างประเทศแม่นกจะสามารถให้ไข่ได้จนถึงอายุ 40 ปี
ระยะเวลาการฟักไข่
หลังจากแม่นกออกไข่แล้ว จะนำไข่เข้าตู้ฟัก เมื่อลูกนกฟักเป็นตัว จะถูกแยกมาเลี้ยงในโรงอนุบาลประมาณ 1 เดือน จากนั้น จะปล่อยไปอยู่รวมกันด้านนอก เป็นโรงเรือนเลี้ยงลูกนก จนอายุครบ 3 เดือน ก็จะแยกไปอยู่อีกโรงเรือนหนึ่ง พออายุครบ 6 เดือน ก็จะย้ายไปเลี้ยงรวมกันกับนกตัวอื่นๆ กระทั่งเมื่อนกกระจอกเทศเข้าสู่วัยผสมพันธุ์ซึ่งมีอายุประมาณ 18-24 เดือน จึงจะแยกเลี้ยงอีกครั้ง โดยแยกออกเป็นคู่ๆ เพื่อให้ผสมพันธุ์กัน
การเลี้ยงลูกนกกระจอกเทศในช่วงอายุ 0-4 สัปดาห์
อุปกรณ์ต่างๆ ที่จำเป็นสำหรับการเลี้ยงลูกนกกระจอกเทศ ในระยะนี้คือ อุปกรณ์สำหรับให้น้ำ ให้อาหาร เครื่องฟักไข่ วัสดุรองพื้น เป็นต้น ผู้เลี้ยงจะต้องเตรียมไว้ให้พร้อม นอกจากนี้ อุปกรณ์ดังกล่าวจะต้องสะอาด และผ่านการฆ่าเชื้อโรคแล้ว (เครื่องกกลูกนกจะต้องตรวจสอบการทำงานให้เรียบร้อยก่อนที่จะใช้งานจริงอย่างน้อย 24 ชั่วโมง) สำหรับข้อควรปฏิบัติเกี่ยวกับการจัดการและการเลี้ยงดูลูกนกกระจอกเทศในระยะนี้ มีดังนี้
1. เปิดสวิทซ์ไฟเครื่องกกก่อนนำลูกนกกระจอกเทศเข้ามาประมาณ 3-4 ชั่วโมง โดยตั้งอุณหภูมิไว้ที่ 90-95 องศาฟาร์เรนไฮต์
2. เติมวิตามินในน้ำที่ใช้สำหรับเลี้ยงลูกนกกระจอกเทศ ก่อนที่จะให้ลูกนกกินประมาณ 1-2 ชั่วโมง เพื่อปรับอุณหภูมิของน้ำให้มีความใกล้เคียงกับสภาพแวดล้อม และให้ลูกนกกินน้ำผสมวิตามินประมาณ 10-14 วัน
3. ลูกนกกระจอกเทศ อายุ 2-3 วันแรก อาจจะไม่จำเป็นต้องให้อาหาร เพื่อให้ลูกนกกระจอกเทศดูดซึมอาหารและย่อยไข่แดงหมดเสียก่อน จากนั้นให้อาหารข้นที่มีโปรตีน 20-22% พลังงาน 2,700 กิโลแคลอรี่ แคลเซี่ยม 1.4 % ฟอสฟอรัส 0.7% หลังจากนั้น 7-10 วัน อาจให้หญ้าสดที่สับเป็นชิ้นเล็กๆ แก่ลูกนกกระจอกเทศเพิ่มขึ้น
4. ระยะแรก ลูกนกกระจอกเทศจะยังไม่รู้จักน้ำและอาหาร ผู้เลี้ยงควรนำลูกนกไปยังที่ให้น้ำแล้วจับปากจุ่มน้ำ 2-3 ครั้ง และนิสัยโดยทั่วไปของนกกระจอกเทศเป็นสัตว์ที่ร่าเริง ดังนั้น ในภาชนะให้อาหารอาจจะใส่ลูกบอลพลาสติก ลูกปิงปอง หรือลูกกอล์ฟ เพื่อให้ลูกนกเล่นไปด้วย จิกกินอาหารไปด้วย วิธีนี้จะทำให้ลูกนกกระจอกเทศกินอาหารได้มากยิ่งขึ้น
5. ควรขยายพื้นที่บริเวณที่ใช้กกลูกนก (ขยายวงล้อมกก) ออกทุกๆ 3-4 วัน การขยายพื้นที่ออกมากหรือน้อยขึ้นกับสภาพอากาศ และควรลดอุณหภูมิในบริเวณที่ใช้กกลูกนกครั้งละ 5 ํF โดยจะใช้เวลากกลูกนกกระจอกเทศประมาณ 8 สัปดาห์ ทั้งนี้ให้สังเกตความสมบูรณ์ของลูกนกด้วย
6. อัตราการเจริญเติบโตในระยะแรก นกกระจอกเทศจะมีอัตราการเติบโตประมาณเดือนละ 1 ฟุต จนนกกระจอกเทศสูงถึง 5-6 ฟุต อัตราการเจริญเติบโตจึงน้อยกว่า 1 ฟุตต่อเดือน
7. ควรให้แสงสว่างในโรงเรือนตลอด 24 ชั่วโมงในระยะ 4 สัปดาห์แรก หลังจากนั้น ให้ลดระยะเวลาในการให้แสงสว่างลงเหลือ 20-23 ชั่วโมง
8. ควรตรวจดูวัสดุรองพื้นอยู่เสมอ ไม่ให้ชื้นแฉะหรือแข็งเป็นแผ่น หรือมีกลิ่นของก๊าซแอมโมเนีย ถ้ามีต้องรีบแก้ไขทันที
9. ควรสังเกตอุจจาระของนกกระจอกเทศตลอดเวลา นกกระจอกเทศที่ปกติจะถ่ายอุจจาระอ่อน ไม่แข็งแห้ง ปัสสาวะจะต้องเป็นน้ำใส ไม่เหนียว หรือขุ่นข้น
10. ควรเอาใจใส่เรื่องสุขาภิบาล เมื่อนกกระจอกเทศแสดงอาการผิดปกติ ผู้เลี้ยงจะต้องรีบหาสาเหตุ เพื่อหาทางแก้ไขโดยด่วนต่อไป
การเลี้ยงลูกนกกระจอกเทศเล็ก (อายุ 1-3 เดือน)
เมื่อครบกำหนดระยะเวลาการกกลูกนกกระจอกเทศ หรือเห็นว่าลูกนกแข็งแรงดีแล้ว ผู้เลี้ยงควรดำเนินการดังต่อไปนี้
1. ยกเครื่องกกออกด้วยความระมัดระวัง อย่าให้ลูกนกตกใจ และสังเกตอาการของลูกนกกระจอกเทศ หากพบอาการผิดปกติ ให้รีบหาสาเหตุและแก้ไขโดยทันที
2. ภาชนะที่ให้อาหาร ควรทำความสะอาดอย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง และให้อาหารลูกนกกระจอกเทศครั้งละน้อยๆ วันละ 4-5 ครั้ง ส่วนภาชนะที่ให้น้ำ ควรทำความสะอาดอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง และมีน้ำให้นกกระจอกเทศกินตลอดเวลาด้วย
3. เมื่อลูกนกกระจอกเทศแข็งแรงและสมบูรณ์ดีแล้ว ควรปล่อยให้ลูกนกได้ออกไปเดินเล่นข้างนอกโรงเรือนอนุบาลบ้าง เพราะจะทำให้ลูกนกแข็งแรงมากยิ่งขึ้น
4. ตรวจสุขภาพของลูกนกกระจอกเทศเป็นประจำทุกวัน ตลอดจนจัดสภาพแวดล้อม การระบายอากาศและวัสดุรองพื้นให้อยู่ในสภาพที่ดีอยู่เสมอ
5. จดบันทึกอัตราการตาย การกินอาหาร การให้ยาหรือวัคซีนและอัตราการเจริญเติบโต ตลอดจนข้อมูลต่างๆ ที่จะเป็นประโยชน์ในการพิจารณาแก้ไขเมื่อเกิดปัญหาขึ้น
การเลี้ยงนกกระจอกเทศรุ่น (อายุ 4-23 เดือน)
การเลี้ยงและการจัดการในระยะนี้มีความสำคัญมาก เพราะเป็นช่วงที่นกกระจอกเทศเจริญเติบโตเร็วมาก น้ำหนักตัวในระยะนี้จะไม่สอดคล้องกับขาของนกที่มีขนาดเล็ก นกกระจอกเทศจึงมักจะเกิดปัญหาเกี่ยวกับขารับน้ำหนักไม่ไหว หรือขาผิดปกติ ดังนั้น เพื่อให้ได้นกกระจอกเทศที่ดี ผู้เลี้ยงจึงต้องเอาใจใส่เป็นอย่างมาก แนวทางการเลี้ยงดูนกกระจอกเทศในระยะนี้ คือ
1. การให้อาหารสำหรับนกกระจอกเทศในระยะนี้ ประกอบด้วยพลังงาน 2,400 กิโลแคลลอรี่ โปรตีน 18% แคลเซียม 1.6% ฟอสฟอรัส 0.8% และเสริมด้วยหญ้าแห้งหรือหญ้าสด นอกจากนี้ ผู้เลี้ยงควรควบคุมน้ำหนักตัวของนกกระจอกเทศ อย่าให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นเร็วเกินไป เพราะขาของนกยังพัฒนาไม่เต็มที่ พอจะรับน้ำหนักตัวของนกกระจอกเทศที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วได้
2. ควบคุมการระบายอากาศภายในโรงเรือน ส่วนบริเวณภายนอกโรงเรือนที่ให้นกกระจอกเทศเดินเล่น ผู้เลี้ยงจะต้องระมัดระวังอย่าให้มีเศษวัสดุ เช่น เศษผ้า เหล็ก ตะปู ฯลฯ ตกหล่นอยู่ เพราะนกจะจิกกินซึ่งอาจจะทำให้นกกระจอกเทศตายได้ (Hardware Disease)
3. จัดอัตราส่วนพื้นที่ให้เหมาะสมกับจำนวนนกกระจอกเทศ โดยกำหนดพื้นที่ให้ตัวละ 1.5 ตารางเมตร สำหรับในบริเวณที่เป็นโรงเรือน และบริเวณด้านนอกที่วิ่งเล่นอย่างน้อยตัวละ 200 ตารางเมตร นอกจากนี้ ผู้เลี้ยงไม่ควรเลี้ยงรวมเป็นฝูงเดียวกันมากกว่า 40 ตัว
4. เพิ่มจำนวนภาชนะให้น้ำและอาหารให้เหมาะสมกับจำนวนนกกระจอกเทศ ที่เลี้ยงในแต่ละฝูง ผู้เลี้ยงควรทำความสะอาดภาชนะที่ให้น้ำและอาหารเป็นประจำทุกวัน
5. ไม่จำเป็นต้องให้แสงสว่างมากในเวลากลางคืน แสงสว่างตามธรรมชาติที่นกกระจอกเทศได้รับก็เพียงพอแล้ว
6. จดบันทึกข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับการกินอาหาร อัตราการตาย การเจริญโตและอาการผิดปกติต่างๆ
การเลี้ยงนกกระจอกเทศพ่อ-แม่พันธุ์ (อายุ 2 ปีขึ้นไป)
นกกระจอกเทศที่ได้รับการเลี้ยงดูอย่างถูกต้อง จะเริ่มให้ผลผลิตเนื้อและผสมพันธุ์ได้ เมื่อเพศเมียมีอายุ 2 ปีขึ้นไป และเพศผู้มีอายุ 2.5 ปีขึ้นไป นกกระจอกเทศจะให้ผลผลิตติดต่อกันได้นานถึง 40 ปี ดังนั้น เพื่อมีผลผลิตอย่างสม่ำเสมอ ผู้เลี้ยงจึงควรปฏิบัติ ดังนี้
1. ควรให้อาหารที่ประกอบด้วยโปรตีน 15-17% พลังงาน 2,300-2,600 กิโลแคลลอรี่ แคลเซี่ยม 18% ฟอสฟอรัส 0.9% วันละ 1-3 กิโลกรัมต่อตัว และควรเสริมด้วยหญ้า นอกจากนี้ผู้เลี้ยงจะต้องมีหินเกล็ดตั้งไว้ให้นกจิกกินด้วย เพื่อช่วยในการย่อยอาหารของนก
2. ภาชนะที่ให้น้ำและอาหาร ผู้เลี้ยงควรหมั่นทำความสะอาดทุกวัน และมีน้ำตั้งไว้ให้นกกินอยู่ตลอดเวลา
3. อัตราส่วนของคู่ที่ใช้ผสมพันธุ์ คือ เพศผู้ 1 ตัว ต่อเพศเมีย 1-3 ตัว
4. จัดพื้นที่ให้เหมาะสม โดยใช้อัตราส่วนพื้นที่ภายในโรงเรือนตัวละ 5-8 ตารางเมตร และบริเวณลานนอกโรงเรือนตัวละ 400-500 ตารางเมตร นอกจากนี้ควรเลี้ยงฝูงละประมาณ 2-4 ตัว (เพศผู้ 1 ตัว เพศเมีย 1-3ตัว) เท่านั้น
5. เก็บไข่ออกทุกวัน และนำไปรวบรวมไว้ในห้องควบคุมอุณหภูมิ เพื่อรอการเข้าตู้ฟัก แต่ผู้เลี้ยงจะต้องมีไข่ปลอมวางไว้เพื่อให้แม่นกกระจอกเทศวางไข่ติดต่อไปเรื่อยๆ และควรจะขังนกกระจอกเทศไว้ด้านนอกโรงเรือนก่อนที่จะเก็บไข่ออก เพราะนกกระจอกเทศช่วงผสมพันธุ์จะดุร้าย อาจทำอันตรายผู้เลี้ยงได้
6. ตรวจสุขภาพนกกระจอกเทศทุกวัน หากมีปัญหาหรือมีอาการผิดปกติต้องรีบแก้ไขโดยทันที
7. ตรวจดูสภาพภายในโรงเรือนเป็นประจำทุกวัน หากอุปกรณ์ใดชำรุดจะต้องรีบซ่อมแซมให้อยู่ในสภาพที่ใช้งานได้ทันที หรือแก้ไขให้เหมาะสมที่จะใช้งานได้ต่อไป
8. จดบันทึกการให้ผลผลิต การตาย การกินอาหาร การให้ยา วัคซีน และอื่นๆ เป็นประจำทุกวัน
การให้อาหาร
นกกระจอกเทศเป็นสัตว์กินพืช กระเพาะจะแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนที่เป็นกระเพาะบด จะมีลักษณะเหมือนกระเพาะไก่ และกระเพาะพักจะมีลักษณะเหมือนกระเพาะของสัตว์เคี้ยวเอื้อง เช่น โค กระบือ ดังนั้น อาหารนกกระจอกเทศ จึงควรเป็นพืช ผัก หญ้า และสัตว์เล็กๆ เช่น ลูกกบ จิ้งจก หรือแมลงต่างๆ นอกจากนี้ นกกระจอกเทศยังจิกกินก้อนหิน หรือหินเกล็ดเล็กๆ เพื่อช่วยในการบดย่อยอาหารที่บริเวณกระเพาะบด สำหรับการเลี้ยงในระบบฟาร์ม อาหารของนกกระจอกเทศมีความสำคัญเป็นอย่างมาก ผู้เลี้ยงจะต้องคำนวณให้ตรงตามความต้องการของนกกระจอกเทศในแต่ละช่วงอายุ โดยจะต้องมีแร่ธาตุอาหารครบถ้วนและเพียงพอ โดยเฉพาะแคลเซียม ความต้องการอาหารในแต่ละช่วงอายุ สามารถแบ่งออกได้เป็นดังนี้
ปัญหาในการเลี้ยง
การเลี้ยงในระยะ 1-3 เดือนแรกเป็นช่วงที่มีปัญหามากสำหรับผู้เลี้ยง แต่ถ้าทำตามขั้นตอนต่างๆ อย่างถูกต้อง ปัญหาการตายของลูกนกก็จะลดลง โดยเฉพาะเรื่องอาหาร ผู้เลี้ยงจะต้องฝึกให้ลูกนกระจอกเทศรู้ว่า แหล่งอาหารอยู่ตรงไหน เพื่อไม่ให้นกกระจอกเทศไปกินดิน กินหญ้า เนื่องจากระบบการย่อยอาหารของลูกนกยังอ่อนแอ
ทำไมการเลี้ยงนกกระจอกจึงน่าสนใจ ?
- มีปัญหาน้อยเกี่ยวกับโรคระบาด พยาธิ โรคอื่นๆ รวมทั้งโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัส
- อุตสาหกรรมเกี่ยวกับเนื้อนกกระจอกเทศขยายตัวอย่างต่อเนื่อง พร้อมไปกับการวิจัยและพัฒนาตลาด
- ตลาดมีความต้องการพ่อแม่พันธุ์นกกระจอกเทศ เนื่องจากการเลี้ยงนกกระจอกเทศกำลังได้รับความสนใจและขยายตัวอย่างรวดเร็ว
แหล่งข้อมูล
เกษตรสร้างอาชีพ "ฟาร์มนกกระจอกเทศ,".นิตยสารเส้นทางเศรษฐี. ฉบับที่ 74 เดือนเมษายน ปี 2544,หน้า 43-45.
ผลผลิตจากนกกระจอกเทศ. http://web.ku.ac.th/agri/ostrich/
http://www.ismed.or.th/SME2/src/bin/controller.php?view=knowledgeInsite.KnowledgesDetail&p=&nid=&sid=51&id=1784&left=54&right=55&level=3&lv1=3
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น