วันอังคารที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2555

การเลี้ยงไก่แบบปศุสัตว์อินทรีย์ ตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง

                   การเลี้ยงไก่ไข่แบบปศุสัตว์อินทรีย์มีแนวความคิดตั้งแต่การระบาดของโรคไข้หวัดนกในปี 2547 เมื่อประเทศไทยประกาศเป็นประเทศที่เกิดการระบาดของโรคไข้หวัดนกและมีคนเสียชีวิต เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2547 ทำให้การเลี้ยงสัตว์ปีกมีการปรับตัวเปลี่ยนแปลงอย่างมาก และเกิดผลกระทบจากการระบาด คือ ประชาชนตื่นตระหนก ขาดความรู้ ความเชื่อมั่น ทำให้ผลผลิตขายไม่ได้ประมาณ 2-3 เดือน จึงเกิดแนวความคิดที่ว่าจะดำเนินธุรกิจเลี้ยงไก่ไข่ต่อไปอย่างมั่นคงได้อย่างไรในภาวะวิกฤติเช่นปัจจุบัน อุดมชัยฟาร์มจึงกลับมาสำรวจจุดอ่อนจุดแข็งของเราว่ามีอะไรบ้าง จึงเริ่มลดค่าใช้จ่ายเป็นลำดับแรก และเปลี่ยนระบบบริหารจัดการ ดังนี้
         1.  งดซื้อยาปฏิชีวนะและวิตามินผสมน้ำ เนื่องจากในอดีตการเลี้ยงไก่เริ่มตั้งแต่ลูกไก่ไข่จนถึงไก่ไข่กำลังให้ไข่ จะต้องมีการวางโปรแกรมการให้ยาปฏิชีวนะและวิตามินผสมน้ำอย่างน้อยเดือนละ 1-2 ครั้ง ในยามอากาศปกติ แต่หากสภาพอากาศไม่ดี เช่น ฝนตก อากาศชื้น หนาวหรือร้อนจัด ก็จะเพิ่มความถี่ในการให้ยาและวิตามิน ซึ่งเป็นการเพิ่มต้นทุนในการเลี้ยงสัตว์และในขณะเดียวกันอาจพบสารตกค้างในผลผลิตและอาจมีผลกระทบในด้านสุขภาพต่อผู้บริโภค
       
         2.  ลดปริมาณการเลี้ยงให้เหมาะสมกับความต้องการ ให้เกิดเสถียรภาพและมั่นคงโดยเน้นสุขภาพสัตว์และผลผลิตที่ปลอดภัยทั้งทางเคมีและชีวภาพ จากการระบาดของไข้หวัดนกในปี พ.ศ.2547 ความต้องการบริโภคไข่ไก่ลดลงอย่างรุนแรง ทำให้กำลังการผลิตเกินความต้องการบริโภค ปัญหาไข่ไก่ล้นตลาดจึงเป็นผลที่ตามมาซึ่งอุดมชัยฟาร์มตระหนักเสมอว่าการประกอบอาชีพเลี้ยงสัตว์จำเป็นต้องดำเนินตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง จึงลดกำลังการผลิตจาก 450000 ตัว เหลือเพียง 50000 ตัวในปัจจุบัน และปรับโครงสร้างการเลี้ยงจากเลี้ยงไก่ไข่แบบเคมีมาเป็นไก่ไข่อินทรีย์ จากการลดปริมาณการเลี้ยงทำให้ไก่ไข่มีสุขภาพแข็งแรงไม่ต้องใช้ยาเพื่อรักษา ไข่ไก่ที่ได้จึงปราศจากสารเคมีและเป็นไข่ไก่เพื่อสุขภาพโดยแท้จริง
         3.   ผลิตอาหารไก่ไข่ที่มีคุณภาพ สะอาดและปลอดภัย ตามหลักโภชนะของสัตว์ ในการเลี้ยงสัตว์นั้น อาหารสัตว์เป็นปัจจัยสำคัญ การดำเนินธุรกิจเลี้ยงไก่ไข่ อาหารย่อมเป็นปัจจัยต้นๆของความแข็งแรงและสมบูรณ์ของแม่ไก่ไข่ เพราะไม่เพียงเพื่อดำรงชีวิตของตัวแม่ไก่ไข่เอง แต่แม่ไก่ไข่ยังต้องนำอาหารไปผลิตเป็นไข่ไก่ที่มีคุณภาพ สะอาดและปลอดภัยอีกด้วย ดังนั้น อุดมชัยฟาร์มจึงมีโรงผลิตอาหารเพื่อใช้เลี้ยงไก่ไข่ขึ้นเองภายใน เพื่อผลิตอาหารที่มีคุณภาพตรงตามความต้องการของแม่ไก่ไข่ และยังสร้างความมั่นคงในอาชีพการเลี้ยงไก่ไข่อีกด้วย การผลิตอาหารจะคำนึงถึงความเป็นธรรมชาติ กล่าวคือ จะไม่นำเอาสารเร่งและสารปรุงแต่งใส่ไปในอาหารเพื่อเลี้ยงแม่ไก่ไข่โดยเด็ดขาดและวัตถุดิบที่นำมาผลิตอาหารไก่ไข่นั้น ยังเป็นวัตถุดิบที่ผลิตได้ภายในประเทศทั้งหมด เช่น ข้าวโพด กากถั่วเหลือง ปลาป่นและรำละเอียด (รำสด) จึงปราศจากพืชตัดแต่งพันธุกรรม (Genetically Modified Organisms or GMOs) โดยสิ้นเชิง
          4.  จากการงดใช้ยาปฏิชีวนะและเคมีภัณฑ์ จึงต้องให้ความสำคัญของสมุนไพรไทยที่สามารถหาได้จากท้องถิ่น เพื่อเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันและรักษาโรคในบางโอกาส สมุนไพรไทย ได้แก่ ฟ้าทะลายโจรและขมิ้นชัน ฯลฯ การดูแลสุขภาพไก่ให้แข็งแรง ไม่เลี้ยงในเชิงปริมาณแต่จะเน้นที่คุณภาพ โดยนอกจากมีการให้สมุนไพรไทยแล้ว น้ำหมักชีวภาพที่ผลิตขึ้นใช้เองงภายในฟาร์มก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือก เพื่อช่วยลดความเครียด เพิ่มประสิทธิภาพให้กับระบบการย่อยและดูดซึมอาหาร เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันโรคให้กับแม่ไก่และยังสามารถลดและดับกลิ่นไม่พึงประสงค์ภายในโรงเรือนนอกจากนี้ยังสามารถรักษาระบบนิเวศน์วิทยา
           5.  ประยุกต์ใช้ระบบความปลอดภัยทางชีวภาพ (Biosecurity) จึงปลอดภัยจากโรคไข้หวัดนกและโรคที่ทำให้เกิดความเสียหายในสัตว์ และยังนำความรู้ดังกล่าวเสนอแนะคณะกรรมการพิจารณาแก้ไขปัญหาโรคไข้หวัดนก โดยมีรองนายกรัฐมนตรี นายจาตุรนต์ ฉายแสง เป็นประธาน จนสามารถควบคุมโรคดังกล่าว และได้รับโล่เกียรติคุณจากกรมปศุสัตว์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2548
           6.  รักษาระบบนิเวศน์วิทยาในการเลี้ยงสัตว์ คือ ไม่ตัดโค่นต้นไม้ยืนต้น แต่จะอนุรักษ์และปลูกเพิ่ม เพื่อลดภาวะโลกร้อนและรักษาสมดุลย์ทางระบบนิเวศน์วิทยา กล่าวคือ การเลี้ยงสัตว์ต้องอาศัยระบบเกื้อกูลซึ่งกันและกัน การเลี้ยงไก่ไข่มีอายุการเลี้ยงที่ยาวนาน ดังนั้นจึงมีหลายปัจจัยที่อาจส่งผลกระทบกับตัวสัตว์แล้วอาจโน้มนำและก่อให้เกิดปัญหาด้านสุขภาพตามมา เช่น ระบบหายใจ ระบบทางเดินอาหาร เป็นต้น ปัจจัยที่มีผลต่อสุขภาพสัตว์นั้นนอกเหนือจากตัวสัตว์เองแล้ว การจัดการฟาร์มก็เป็นอีกปัจจัยพื้นฐานที่สำคัญในการป้องกันและแก้ไขในกรณีที่เกิดปัญหา สภาพแวดล้อมที่สัตว์อยู่อาศัยเป็นอีกตัวแปรหนึ่งที่ไม่ควรมองข้าม การรักษาไม้ยืนต้นที่มีอยู่เดินตามธรรมชาติ นอกจากช่วยในด้านอากาศและร่มเงาแล้ว ยังเป็นการอนุรักษ์พันธุ์ไม้ในท้องถิ่นด้วย ทางฟาร์มมีนโยบายปลูกต้นไม้เพิ่มเติมเพื่อช่วยในเรื่องสภาพแวดล้อมภายในฟาร์มและเพื่อช่วยลดภาวะโลกร้อนอีก
           7.   ส่งเสริมให้ปลูกพืชผักสวนครัวเพื่อบริโภค หากมีเหลือก็แจกจ่ายให้กับลูกค้าเพื่อลดค่าใช้จ่ายในครัวเรือน นอกจากนี้ยังปลอดภัยจากยาเคมีหรือสิ่งปนเปื้อนจากภายนอกจึงมั่นใจในความปลอดภัยของผักและผลไม้ที่ผลิตได้ภายในฟาร์มอีกด้วย

http://voramon.wordpress.com/2010/08/06/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B8%A2%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%81%E0%B9%88%E0%B9%81%E0%B8%9A%E0%B8%9A%E0%B8%9B%E0%B8%A8%E0%B8%B8%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%A7/

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น