สถานการณ์การเลี้ยงกุ้งขาว
ชวนพิศ สิทธิมังค์
ปัญหาทางการผลิตและการตลาดกุ้งกุลาดำในระยะ 3 ปีที่ผ่านมา( 2544-2546) ทำให้ผู้เลี้ยงเริ่มหันมาสนใจการเลี้ยงกุ้งขาวซึ่งเป็นกุ้งที่มีความสำคัญเชิงเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางแถบประเทศลาตินอเมริกา อมริกา อาฟริกา และบางประเทศในทวีปเอเซีย และเมื่อประเทศไทยประสบกับปัญหาทางการตลาดดังที่กล่าวข้างต้น กรมประมงจึงได้อนุญาตให้เอกชนนำเข้าพ่อ-แม่พันธุ์กุ้งขาวเข้ามาเพาะเลี้ยง โดยอนุญาตเป็นเวลา 1 ปี โดยเริ่มตั้งแต่เดือนมีนาคม 2545 จนถึงสิ้นเดือนกุมภาพันธุ์ 2546
อย่างไรก็ตามในระหว่างปี 2540-2541 ได้มีเอกชนได้นำกุ้งขาว P.Vanamei จากประเทศไต้หวันมาทดลองเลี้ยงในจังหวัดภาคใต้และภาคตะวันออก มีทั้งได้ผลดีเพราะเลี้ยงด้วยอาหารกุ้งกุลาดำที่มีโปรตีนสูงและล้มเหลวเพราะติดโรคตัวแดงดวงขาว นอกจากนี้ผู้เลี้ยงในภาคตะวันออกบางราย ได้พัฒนาการเลี้ยงต่อให้เป็นพ่อแม่พันธุ์รุ่น F2 และ F3 และได้มีการทดลองเลี้ยงในบ่อดินมาตามลำดับ อีกทั้งยังมีการนำลูกกุ้งขาวเข้ามาในประเทศเป็นประจำโดยสำแดงสินค้าว่าเป็นลูกกุ้งกุลาดำ[1] ดังนั้นกรมประมงจึงได้ออกประกาศงดอนุญาตนำลูกกุ้งทะเลเข้ามาในราชอาณาจักร ในระยะเวลาดังกล่าวเป็นระยะที่การเลี้ยงและการตลาดกุ้งกุลาดำมีปัญหามาก จึงมีเอกชนหลายรายพยายามหาทางที่จะนำกุ้งขาวเข้ามาเลี้ยง แต่ก็ยังไม่ได้รับอนุญาต ต่อมา(6 ส.ค 2544)บริษัทแซมได้ทำหนังสือ เสนอข้อมูลต่างๆ ที่เคยเลี้ยงในประเทศสหรัฐอเมริกาถึง 15 ปี และปัญหากุ้งกุลาดำที่เกิดขึ้น ตลอดจนต้องการรักษาส่วนแบ่งทางการตลาดในตลาดโลก จำเป็นต้องหากุ้งพันธุ์อื่นๆมาเลี้ยงเพื่อทดแทนสักระยะหนึ่ง อีกทั้งบางประเทศสามารถผลิตพ่อแม่พันธุ์กุ้งปลอดเชื้อ(SPF)ได้แล้ว เช่น ประเทศสหรัฐอเมริกา หากกรมประมงออกระเบียบกำหนดเงื่อนไขให้รัดกุม เช่น การควบคุมตรวจสอบ มีในรับรองที่เชื่อถือได้ ก็น่าจะอนุญาตให้นำเข้าพ่อแม่กุ้งขาวเข้ามาในประเทศเพื่อเพาะเลี้ยงได้ ดีกว่าจะปล่อยให้มีการลักลอบการนำเข้า ซึ่งยากต่อการควบคุม และเนื่องจากกุ้งขาวเป็นกุ้งที่เลี้ยงง่ายและสามารถปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมได้ดี โดยเฉพาะการปรับตัวให้อยู่ในน้ำที่มีความเค็มตั้งแต่ 0.5-35 ppt ได้ จึงเป็นที่ต้องการของเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงในพื้นที่น้ำจืด จึงทำให้มีการเรียกร้องนำเข้ากุ้งขาวเพื่อการเพาะเลี้ยงมีมากขึ้น
ดังนั้น กรมประมงได้ออกระเบียบว่าด้วยการขอหนังสือรับรองโรงเพาะฟักกุ้งขาว P.vanamei เพื่อการเพาะพันธุ์ พ.ศ 2545 โดยอนุญาตให้นำพ่อแม่พันธุ์กุ้งขาวที่ปลอดเชื้อเข้ามาในประเทศเพื่อเพาะพันธุ์ตั้งแต่ 11 มีนาคม – 31สิงหาคม 2545 และขยายเวลาต่ออีก 6 เดือน จนถึง 28 กุมภาพันธุ์ 2546 หลังจากนั้น ได้ว่าจ้างหน่วยวิจัยเพื่อความเป็นเลิศเทคโนโลยีชีวภาพกุ้ง คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ศึกษาโครงการประเมินผลกระทบการนำกุ้งขาว P.vanamei เข้าประเทศไทย
2.ทบทวนผลการเลี้ยงกุ้งขาวของภาคเอกชน[2]
โรงเพาะฟักที่นำพ่อแม่พันธุ์กุ้งขาวเข้ามาเพาะพันธุ์ และกระจายลูกกุ้งที่ได้ไปเลี้ยงยังฟาร์มต่างๆทั่วประเทศ โดยส่วนใหญ่จะปรับเปลี่ยนจากการเลี้ยงกุ้งกุลาดำมาเลี้ยงกุ้งขาว หรือเลี้ยงกุ้งทั้ง 2 ชนิดในฟาร์มเดียวกัน หรือปล่อยกุ้งทั้ง 2 ชนิดลงเลี้ยงร่วมกัน
การปล่อยกุ้งขาวขนาด PL10 เพื่อเลี้ยง น้ำควรมีความเค็มขนาด 10-45 ppt แต่ถ้าหากความเค็มต่ำกว่านี้คือประมาณ 2-9 ppt ควรปล่อยลูกกุ้งขนาด PL13 ขึ้นไป หรือหากความเค็มน้อยกว่า 2 ppt ลูกกุ้งที่ปล่อยควรมีขนาด PL15 ขึ้นไป อย่างไรก็ตามลูกกุ้งที่ปล่อยควรจะปรับความเค็มมาแล้วจากโรงเพาะฟัก ส่วนอัตราการปล่อยขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของบ่อเลี้ยง
วารสารประมงธุรกิจปีที่3 ฉบับที่34 ประจำเดือนสิงหาคม 2545 ได้นำเสนอผลการเลี้ยงของเอกชนรายหนึ่งว่า เกษตรกรจะปล่อยกุ้งขาว 40 ตัว/ตารางเมตร ราคาลูกกุ้งตัวละ 13 สตางค์ ลงทุนทั้งสิ้น 38,000 บาท เมื่อจับจำหน่ายจะได้ราคาประมาณ 4 เท่าของต้นทุนดังกล่าว
จากรายงานของตะวันออกแฮชเชอรี่ เป็นหนังสือคู่มือ ชื่อว่า “กุ้งขาววานามายเคล็ดไม่ลับกับวิธีการเลี้ยงกุ้งขาว” รายงานว่า จากผลการเลี้ยงในบ่อต่างๆ 6 บ่อ ขนาด 2-3.5 ไร่ ปล่อยกุ้ง 150,000 – 350,000 ตัว/บ่อ อายุการเลี้ยง 87-102 วัน จับกุ้งได้ขนาด 90-72 ตัว/ก.ก อัตราการรอดร้อยละ 82-94 อัตราแลกเนื้อ 1.17-1.34 ผลผลิตที่ได้1.566-3.676 ตัน/บ่อ
จากวารสารสัตว์น้ำ ปีที่ 14 ฉบับที่ 168 สิงหาคม 2546 มีการรายงานถึงความร่วมมือด้านการเลี้ยงกุ้งขาวระหว่างไทยยูเนี่ยนและกุ้งแซมว่า ปล่อยกุ้งขาวลงเลี้ยงในอัตรา 300,000 ตัว/ไร่ ขนาดบ่อเลี้ยง 4 ไร่ ระยะเวลาการเลี้ยง 94 วัน อัตรารอดร้อยละ 80 ให้ผลผลิต 17.5 ตัน หรือ 4.4 ตัน/ไร่
นอกจากนี้เกษตรกรบางราย ยังได้เปิดเผยถึงการเลี้ยงกุ้งขาวเพื่อทำพ่อแม่พันธุ์ว่า ได้ซื้อกุ้งขาวมาจากฟาร์มแห่งหนึ่ง 200,000 ตัว ในราคาตัวละ 35 สตางค์ เลี้ยงไปเป็นเวลา 4 เดือน ได้กุ้งประมาณ 80 ตัว/ก.ก แบ่งขายไปส่วนหนึ่ง ส่วนที่เหลือจะเลี้ยงต่อจนครบ 11 เดือน จึงขายต่อเป็นพ่อแม่พันธุ์ ซึ่งกุ้งแต่ละรุ่นจะเลี้ยงเป็นเวลา 10-12 เดือน ได้กุ้งขาวขนาดตัวละ 40-45 กรัม พ่อแม่พันธุ์ขนาดดังกล่าวจะขายได้ราคา ตัวละ 200-300 บาท หรือบางครั้งจะซื้อกุ้งที่ผ่านการเลี้ยงมาแล้วประมาณ 3 เดือน มีขนาดประมาณ 70 ตัว/ก.ก ราคา 250 บาท/ก.ก และการซื้อกุ้งดังกล่าวจะตรวจเชื้อต่างๆก่อน เช่น โรคหัวเหลือง ตัวแดงดวงขาว แต่ไม่ได้ตรวจโรค TSV (ไม่มีเครื่องมือ) เลี้ยงกุ้งในอัตรา 3,500 ตัว/ไร่ ที่ความเค็ม 12 ppt การเลี้ยงแต่ละรุ่นจะได้พ่อแม่พันธุ์ที่สมบูรณ์ ร้อยละ 40-50 และจากการสำรวจโรงเพาะฟักกุ้งขาวในภาคกลาง และภาคใต้ในเดือน ธันวาคม 2546 พบว่า โรงเพาะฟักส่วนใหญ่จะได้พ่อแม่กุ้งมาจากกุ้งเลี้ยงดังกล่าวแล้วข้างต้นมาผลิตเป็นนอเพลียส เพื่อจำหน่าย โดยแต่ละฟาร์มจะมีการผลิตประมาณ 6 ล้านตัว/วัน ถึงเกือบ 100 ล้านตัว/วัน แต่ถ้าราคากุ้งขาวต่ำลงและไม่มีผู้เลี้ยงสั่งซื้อลูกกุ้ง โรงเพาะฟักเหล่านี้จะหยุดดำเนินการชั่วคราว จะมีเพียงบางโรงเท่านั้นเท่านั้นที่เสี่ยงเพาะลูกกุ้งและเลี้ยงจนถึงระยะ post larvae เมื่อไม่มีคนซื้อเจ้าของโรงเพาะฟักก็ปล่อยลูกกุ้งเหล่านี้ลงทะเลไป
แม้ว่าจะยังไม่มีรายละเอียดที่ชัดแจ้งเกี่ยวกับข้อมูลของพ่อแม่พันธุ์กุ้งขาวที่นำเข้ามาในประเทศไทย แต่จากการเลี้ยงในปัจจุบันแสดงให้เห็นว่า ลูกกุ้งที่ได้จากพ่อแม่พันธุ์เหล่านี้เจริญเติบโตได้ดี มีผลผลิตเป็นที่น่าพอใจในระยะเวลาการเลี้ยง 3 เดือน และยิ่งไปกว่านั้นการที่มีการผลิตพ่อแม่พันธุ์จากลูกกุ้งเหล่านี้ยังพอแสดงให้เห็นว่าพ่อแม่พันธุ์ที่นำเข้าในตอนต้นนั้นไม่มีปัญหาทางพันธุ์กรรม ส่วนการแคระแกรนในลูกกุ้งบางฟาร์มอาจจะสันนิษฐานได้ทั้งสองลักษณะ คือ ทั้งจากพันธุ์กรรมและจากการติดเชื้อแคระแกรน ซึ่งน่าจะมีการศึกษาในเรื่องนี้เฉพาะต่อไป
แนวโน้มการเลี้ยงกุ้งขาวแวนนาไมในพื้นที่ภาคกลางในช่วงเดือนมิถุนายน-ตุลาคม 2546 ค่อนข้างเพิ่มมากกว่าในช่วงต้นปี2546 เนื่องจากในช่วงกลางปีราคากุ้งขาวดักว่ากุ้งกุลาดำและเลี้ยงได้ผลดีกว่า ดังนั้นความต้องการลูกกุ้งขาวจะสูงมากในเดือนก.ย-ต.ค ทำให้พื้นที่การเลี้ยงกุ้งมีการเปลี่ยนแปลงมาก คือในเดือนตุลาคม 2546 จะมีการลงกุ้งขาวถึง 80% มีกุ้งกุลาดำ 20% ของพื้นที่ภาคกลางและพื้นที่น้ำจืด เช่นเดียวกับพื้นที่ภาคใต้ในจังหวัดภูเก็ต พบว่าโรงเพาะฟักที่เคยผลิตลูกกุ้งกุลาดำก็เปลี่ยนมาเป็นผลิตลูกกุ้งขาวแวนนาไมแทนความต้องการของตลาด
3.การผลิต
ประมาณการผลผลิตกุ้งทะเลของประเทศไทยในปี 2546 แบ่งตามแหล่งที่มา ดังนี้
3.1 กุ้งเพาะเลี้ยง รวม 335,000 ตันแยกเป็น
กุ้งกุลาดำ 155,000 ตัน
กุ้งขาว 180,000 ตัน
3.2 กุ้งจับจากธรรมชาติ 56,500 ตัน
3.3 กุ้งนำเข้า 25,000 ตัน
รวมทั้งสิ้น 416,500 ตัน
4.ต้นทุนการผลิตกุ้งขาวแวนนาไม
ส่วนเศรษฐกิจการประมงได้ศึกษาเบื้องต้นต้นทุนการเลี้ยงกุ้งแวนนาไม พบว่าต้นทุนการเลี้ยงจะผันแปรตามราคาของลูกกุ้ง ทั้งนี้เนื่องจากปัจจุบันทางราชการไม่อนุญาตให้นำเข้าพ่อแม่พันธุ์ จึงมีผลทำให้ราคาลูกกุ้งมีราคาสูงขึ้น ซึ่งจะเห็นว่า ค่าใช้จ่ายผันแปรที่สำคัญ คือ ค่าอาหารกุ้ง และ ค่าพันธุ์กุ้ง ต้นทุนต่อกิโลกรัมอยู่ระหว่าง 79 – 95 บาท ( เฉลี่ย 87 บาท/กิโลกรัม) โดยต้นทุนผันแปรตามราคาลูกกุ้งเป็นสำคัญ ส่วนการจัดการระบบการเลี้ยง อัตราการเจริญเติบโต และอัตรการรอดตาย ซึ่งเกี่ยวข้องกับคุณภาพลูกกุ้งมีความผันแปรไม่มากนัก เนื่องจากกุ้งขาวแวนนาไมมีอายุการเลี้ยงสั้น การเจริญเติบโตและอัตรารอดไม่ผันแปรมากนัก ทั้งนี้เนื่องจากพันธุ์กุ้งขาวแวนนาไมเป็นพันธุ์กุ้งที่ผ่านการคัดพันธุ์มาแล้วอย่างดีหลาย Generation
5.ราคากุ้งขาว
เนื่องจากต้นทุนการเลี้ยงกุ้งขาวที่ต่ำกว่ากุ้งกุลาดำค่อนข้างมาก ทำให้ศักยภาพในการแข่งขันได้ง่ายกว่า ตลอดจนการเลี้ยงง่ายกว่าผลผลิตและมีขนาดที่ใกล้เคียงกัน ทำให้เกษตรกรเปลี่ยนมาเลี้ยงกุ้งขาวมากขึ้น ปัจจุบันราคากุ้งขาวมีแนวโน้มสูงขึ้นในทุกขนาด อย่างไรก็ตามในขนาดกลางและใหญ่ (30-60 ตัว/ก.ก) ราคากุ้งกุลาดำมีราคาที่สูงกว่ากุ้งขาว แต่ถ้าเป็นขนาด70-80 ตัว/ก.ก ราคากุ้งขาวจะสูงกว่ากุ้งกุลาดำ
6.เปรียบเทียบข้อดีข้อเสียการเลี้ยงกุ้งขาว[3]
ข้อดี 1. จากกุ้งเนื้อส่วนหนึ่งจะเก็บไว้เลี้ยงเป็นพ่อแม่พันธุ์ได้ง่าย สามารถเลี้ยงในบ่อดินเป็นเวลา 10-12 เดือน จะได้พ่อแม่พันธุ์ขนาด 40 กรัม มีการตกไข่ประมาณ 100,000 ฟอง
2. กุ้งขาวสามารถปรับตัวได้ดีในสภาวะต่างๆ ทั้งด้านอุณหภูมิ ความเค็มของน้ำและการกินอาหาร สามารถเลี้ยงได้ทั่วไปรวมทั้งในพื้นที่น้ำจืด
3.สามารถปล่อยกุ้งขาวลงเลี้ยงในอัตราที่หนาแน่นได้ เพราะมีนิสัยกระจายอยู่ทั่วทุกระดับความลึกและกินอาหารธรรมชาติได้ดี และผลผลิตที่ได้ต่อไร่สูง คือประมาณ 1-4 ตัน/ไร่ ในระยะเวลา 3 เดือน
4. ต้นทุนการผลิตคอนข้างต่ำเพราะสามารถใช้อาหารที่มีส่วนประกอบโปรตีนน้อยได้ ซึ่งมีราคาต่ำ
5.เมื่อภาวะการตลาดกุ้งกุลาดำประสบปัญหา สามารถสลับมาเลี้ยงกุ้งขาวได้โดยใช้อุปกรณ์ต่างๆที่ใช้เลี้ยงกุ้งกุลาดำได้ เป็นการรักษาธุรกิจและตลาดส่งออกกุ้งทะเลที่ไม่มีข้อจำกัดว่าเป็นกุ้งชนิดอะไร
ข้อเสีย 1.โรคที่ติดมากับกุ้งขาวอาจมีการระบาดเข้าสู่กุ้งพื้นเมืองและเศรษฐกิจการเลี้ยงกุ้งกุลาดำ
2.ข้อได้เปรียบทางเศรษฐกิจของการเลี้ยงกุ้งขาว เช่นต้นทุนที่ต่ำกว่า และราคาขายเป็นสิ่งจูงใจผู้บริโภค อาจทำให้การเลี้ยงกุ้งกุลาดำอันเป็นกุ้งเศรษฐกิจอาจสลายไป
3.ด้วยคุณสมบัติของกุ้งขาวทำให้มีผู้นิยมเลี้ยงทั่วโลก บางประเทศเช่น จีน อินโดนีเซียมีความได้เปรียบประเทศไทยในด้านแรงงานและการตลาด จะทำให้เกิดปัญหาราคาตกต่ำในอนาคตได้เช่นกันกับกุ้งกุลาดำได้
4.ลูกกุ้งที่ได้จากพ่อแม่พันธุ์ที่ได้จากการเลี้ยงในบ่อเหล่านี้จะมีคุณภาพเพียงพอต่อไปหรือไม่ และกุ้งขาวมีโอกาสติดเชื้อต่างๆของกุ้งกุลาดำ หรือสายพันธุ์อื่นๆที่มีอยู่ในประเทศได้
--------------------------------------------------------------------------------
[1] รายงานสรุปผลการดำเนินงานโครงการฉบับสมบูรณ์: โครงการประเมินผลกระทบการนำกุ้งขาวเข้าประเทศไทย หน่วยวิจัยเพื่อความเป็นเลิศเทคโนโลยีชีวภาพกุ้ง คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล, มีนาคม 2547
[2] รายงานสรุปผลการดำเนินงานโครงการฉบับสมบูรณ์ : หน่วยวิจัยเพื่อความเป็นเลิศเทคโนโลยีชีวภาพกุ้ง คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล, มีนาคม 2547
[3] นิตยสารสัตว์น้ำเศรษฐกิจ ปีที่ 3 ฉบับที่ 22 เดือนเมษายน 2547
http://www.fisheries.go.th/extension/whitesh.htm
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น